ผู้บริโภคพร้อมที่จะใช้ AI และหุ่นยนต์ ตอบโจทย์ความต้องการที่จะบริการดูแลรักษาสุขภาพ
League88 ขอนำเสนอ PwC เผยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และหุ่นยนต์จะเข้ามาเปลี่ยนโฉมธุรกิจบริการสุขภาพในระยะข้างหน้า แม้ปัจจุบันจะยังไม่สามารถเข้ามารักษาโรคแทนที่แพทย์ที่เป็นมนุษย์ เพราะประชาชนส่วนใหญ่ให้การตอบรับกับการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย และการเข้าถึงบริการที่ดีขึ้นและรวดเร็วขึ้น
รายงานชี้ว่า
ประชากรในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่มีความพร้อมในการใช้เอไอและหุ่นยนต์ทางการแพทย์มากกว่ากลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว
ขณะที่ ส่วนใหญ่ยังยินดีให้หุ่นยนต์ทำการผ่าตัดเล็ก
ส่วนการใช้เอไอและหุ่นยนต์ในการดูแลสุขภาพในไทยจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป
เหตุใช้เงินลงทุนสูง และระบบจัดการฐานข้อมูลยังไม่พร้อม
รวมทั้งต้องปรับทัศนคติของแพทย์และสถานพยาบาล
PwC เปิดเผยถึงรายงาน What doctor? Why AI and robotics will define New Health ที่ทำการศึกษาสำรวจประชากรมากกว่า 11,000 คนจาก 12 ประเทศทั่วยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกาว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าครึ่ง (55%) มีความยินดีที่จะใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ขั้นสูง หรือหุ่นยนต์มาช่วยตอบคำถามด้านสุขภาพ ทำการวินิจฉัยโรค หรือแม้กระทั่งช่วยแนะนำการรักษา
PwC เปิดเผยถึงรายงาน What doctor? Why AI and robotics will define New Health ที่ทำการศึกษาสำรวจประชากรมากกว่า 11,000 คนจาก 12 ประเทศทั่วยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกาว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าครึ่ง (55%) มีความยินดีที่จะใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ขั้นสูง หรือหุ่นยนต์มาช่วยตอบคำถามด้านสุขภาพ ทำการวินิจฉัยโรค หรือแม้กระทั่งช่วยแนะนำการรักษา
รายงานของ PwC ระบุด้วยว่า ประชากรในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่
มีความเปิดกว้างต่อการรับเอาเทคโนโลยีเข้ามาดูแลสุขภาพมากกว่าประชากรในตลาดที่พัฒนาแล้ว
และมีระบบบริการสุขภาพที่มีความยืดหยุ่นน้อยกว่า (เช่น สหราชอาณาจักร
และยุโรปตะวันตก/เหนือ)
โดยคนในกลุ่มประเทศเหล่านี้ยินดีที่จะได้รับการรักษาจากผู้ให้บริการสุขภาพที่ไม่ใช่คน
(Non-human healthcare provider) มากกว่า
โดยอาจสืบเนื่องจากระบบบริการสุขภาพของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ส่วนใหญ่ที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา
PwC ยังพบว่า
จากการสำรวจกรณีการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ปฏิบัติการในห้องผ่าตัดพบว่า
ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบครึ่งและสูงสุดถึง 73% ยินดีที่จะให้หุ่นยนต์ดำเนินการในขั้นตอนการผ่าตัดเล็กๆ
น้อยๆ แทนแพทย์ที่เป็นมนุษย์ โดยผู้ตอบแบบสอบถามในไนจีเรีย ตุรกี และแอฟริกาใต้
เป็นประเทศที่มีผู้ตอบแบบสอบถามเต็มใจรับการผ่าตัดเล็กโดยหุ่นยนต์มากที่สุด (73%,
66% และ 62% ตามลำดับ)
เปรียบเทียบกับสหราชอาณาจักร ที่มีผู้ตอบแบบสอบถามที่เต็มใจเพียง 36% ในกรณีการผ่าตัดใหญ่ (Major surgery) เช่น
ผ่าตัดเข่าหรือสะโพก ผ่าตัดเนื้องอก หรือผ่าตัดหัวใจ
ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ยังคงวางใจให้แพทย์ที่เป็นมนุษย์ทำการรักษา
ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าแปลกใจ
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้ตอบแบบสอบถามในบางประเทศที่เต็มใจเข้ารับการผ่าตัดใหญ่โดยหุ่นยนต์
เช่น ไนจีเรียอยู่ที่ 69% เนเธอร์แลนด์ที่ 40% และสหราชอาณาจักรที่ 27%
PwC ยังได้ทำการศึกษาถึงปัจจัยที่ทำให้คนส่วนใหญ่ยอมรับ
หรือไม่ยอมรับบริการในการรักษาจากเอไอและหุ่นยนต์ดูแลสุขภาพ พบว่า
การเข้าถึงบริการดูแลสุขภาพที่ง่ายและรวดเร็วกว่า (36%) และการวินิจฉัยที่รวดเร็ว
ถูกต้องและแม่นยำ (33%) เป็นแรงจูงใจหลักที่ทำให้พวกเขาสนใจใช้เทคโนโลยีเหล่านี้
ในทางตรงกันข้าม การขาดความไว้วางใจให้หุ่นยนต์ตัดสินใจ (47%) และการขาดสัมผัสแห่งมนุษย์ (41%) ก็เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้คนเกิดความลังเลเช่นกัน
รายงานชี้ว่า
แม้ว่าเปอร์เซ็นต์ที่ได้จากแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน แต่ข้อดีและข้อเสียอย่างละ 2 อันดับที่กล่าวมาข้างต้น
เป็นสิ่งที่ถูกอ้างอิงถึงมากที่สุดในเกือบทุกประเทศที่ทำการสำรวจ
ยกเว้นซาอุดีอาระเบียและกาตาร์ ที่ผู้ตอบแบบสอบถามมองว่า การขาดสัมผัสแห่งมนุษย์
เป็นข้อเสียข้อใหญ่ที่สุดของการรักษาด้วยหุ่นยนต์ที่ทำให้พวกเขาไม่สนใจที่จะใช้เทคโนโลยีนี้
ดร.ทิม วิลสัน
หัวหน้าสายงานอุตสาหกรรมสุขภาพประจำตะวันออกกลาง ของ PwC กล่าวว่า ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่
เอไอและหุ่นยนต์คืออนาคตของการบริการสุขภาพ
เพราะวันนี้การเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพในราคาที่สามารถจ่ายได้
และนำมาซึ่งสุขภาพที่ดีล้วนเป็นเป้าหมายสูงสุดของการดำเนินชีวิตของทุกคน
เรามองว่าประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมที่จะเกิดขึ้นจากการบรูณาการเอไอและหุ่นยนต์เข้ากับระบบการดูแลสุขภาพที่มีอยู่
และสร้างให้เกิดบริการดูแลสุขภาพในรูปแบบใหม่ๆ
ผ่านการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ในระยะข้างหน้ามีอยู่อย่างมหาศาล
ทั้งนี้ PwC ยังได้แนะนำขั้นตอนต่อไปสำหรับรัฐบาล ธุรกิจ
และผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์ สถานพยาบาล
และผู้เกี่ยวข้องเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ของบริการดูแลสุขภาพโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์
ได้แก่
• รัฐบาล ต้องกำหนดมาตรการควบคุมคุณภาพ
กรอบการกำกับดูแล และกฎข้อบังคับที่ครอบคลุมทุกธุรกิจในอุตสาหกรรมดูแลสุขภาพ
ตลอดจนออกมาตรการกระตุ้นที่เหมาะสมในการสนับสนุนแนวทางการรักษาด้วยวิธีการใหม่ๆ
• แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ต้องเข้าใจหลักการทำงานของเอไอและหุ่นยนต์ว่าสามารถเอื้อประโยชน์และทำงานร่วมกับพวกเขาได้ ทั้งในบริบททางการแพทย์และระบบนิเวศของการดูแลสุขภาพทั้งหมด อีกทั้งยังต้องเปิดใจยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงด้วย
• ผู้ป่วย ต้องศึกษาและทำความคุ้นเคยกับการใช้เอไอและหุ่นยนต์มากขึ้น นอกจากนี้ ยังต้องเข้าใจถึงประโยชน์ที่ได้จากการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ เพื่อนำไปใช้ในการดูแลสุขภาพของตน
• ภาคเอกชนที่พัฒนาเอไอและหุ่นยนต์ ต้องสร้างโซลูชั่นส์ที่สามารถแก้ไขปัญหาสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับความต้องการและทรัพยากรที่ระบบดูแลสุขภาพกำลังเผชิญอยู่ ในสาระสำคัญ เอกชนสามารถใช้โอกาสที่มีในการเข้ามาพลิกโฉมธุรกิจบริการดูแลสุขภาพให้ดีขึ้นผ่านการนำเสนอโซลูชั่นส์ในการดูแลสุขภาพผ่านการใช้เอไอและหุ่นยนต์ที่มีประสิทธิภาพ
• ผู้ที่ทำการตัดสินใจของสถาบันดูแลสุขภาพ ต้องมีการพัฒนาหลักฐานเชิงประจักษ์ (Evidence base) มีการประเมินผลสำเร็จ และประสิทธิภาพของเทคโนโลยีใหม่ๆ อีกทั้งต้องลำดับความสำคัญของภารกิจ และมุ่งเน้นไปที่ความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก
• แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ต้องเข้าใจหลักการทำงานของเอไอและหุ่นยนต์ว่าสามารถเอื้อประโยชน์และทำงานร่วมกับพวกเขาได้ ทั้งในบริบททางการแพทย์และระบบนิเวศของการดูแลสุขภาพทั้งหมด อีกทั้งยังต้องเปิดใจยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงด้วย
• ผู้ป่วย ต้องศึกษาและทำความคุ้นเคยกับการใช้เอไอและหุ่นยนต์มากขึ้น นอกจากนี้ ยังต้องเข้าใจถึงประโยชน์ที่ได้จากการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ เพื่อนำไปใช้ในการดูแลสุขภาพของตน
• ภาคเอกชนที่พัฒนาเอไอและหุ่นยนต์ ต้องสร้างโซลูชั่นส์ที่สามารถแก้ไขปัญหาสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับความต้องการและทรัพยากรที่ระบบดูแลสุขภาพกำลังเผชิญอยู่ ในสาระสำคัญ เอกชนสามารถใช้โอกาสที่มีในการเข้ามาพลิกโฉมธุรกิจบริการดูแลสุขภาพให้ดีขึ้นผ่านการนำเสนอโซลูชั่นส์ในการดูแลสุขภาพผ่านการใช้เอไอและหุ่นยนต์ที่มีประสิทธิภาพ
• ผู้ที่ทำการตัดสินใจของสถาบันดูแลสุขภาพ ต้องมีการพัฒนาหลักฐานเชิงประจักษ์ (Evidence base) มีการประเมินผลสำเร็จ และประสิทธิภาพของเทคโนโลยีใหม่ๆ อีกทั้งต้องลำดับความสำคัญของภารกิจ และมุ่งเน้นไปที่ความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก
ด้าน นายดีน อาร์โนลด์
หัวหน้าสายงานอุตสาหกรรมสุขภาพ ประจำภาคพื้นยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ของ PwC กล่าวว่า “เป็นที่ชัดเจนว่า
ปัจจุบันคนเริ่มให้ความสนใจและยินดีที่จะใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ๆ
ไม่ว่าจะเป็นเอไอและหุ่นยนต์มาใช้ในการดูแลสุขภาพของตน แต่สิ่งที่ต้องเปลี่ยนไปคือ
การที่ภาครัฐ ภาคธุรกิจ รวมทั้งผู้ประกอบวิชาชีพด้านการดูแลสุขภาพทั้งระบบ
ต้องเริ่มหันมาคิดในมุมที่ต่างออกไปว่า
เราจะให้บริการสุขภาพแก่ประชาชนในวันนี้อย่างไร
เราต้องคิดให้รอบคอบและรอบด้านมากขึ้น ว่า จะนำกลยุทธ์ไปใช้ปฏิบัติในแต่ละที่
แต่ละประเทศอย่างไรให้ได้ผล ซึ่งทั้งหมดถือเป็นความท้าทายของทุกคน”
ส่วน นางสาววิไลพร ทวีลาภพันทอง
หุ้นส่วนสายงานธุรกิจที่ปรึกษา บริษัท PwC ประเทศไทย
กล่าวว่า สำหรับประเทศไทยการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือ
หุ่นยนต์เข้ามาใช้ในธุรกิจบริการดูแลสุขภาพ น่าจะช่วยได้มาก
เพราะอัตราส่วนแพทย์ต่อประชากรของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ เปรียบเทียบกับหลายๆ ประเทศ
แต่ลักษณะของการนำมาใช้คงเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป
เพราะข้อจำกัดด้านเงินลงทุนที่ค่อนข้างสูง
ประกอบกับระบบการจัดการฐานข้อมูลคนไข้ของไทยยังไม่ดีเพียงพอ
รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนทัศนคติของบุคลากรทางการแพทย์ด้วย
โดยส่วนใหญ่โรงพยาบาลในประเทศจะมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเฮลธ์มาช่วยมากกว่า
แต่อย่างไรก็ดี
ปัจจุบันเราเริ่มเห็นไทยศึกษาทดลองระบบเอไอและหุ่นยนต์บ้างแล้ว
โดยโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่บางแห่งเริ่มมีการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ เช่น
นวัตกรรมการตรวจหาความผิดปกติ หรือตรวจจับโรคระยะเริ่มต้น
รวมไปถึงแอปพลิเคชันในการดูแลสุขภาพ
เพื่อช่วยให้คนไข้สามารถจัดการดูแลสุขภาพตัวเองได้ในระดับเบื้องต้น
แต่อาจยังไม่ถึงขั้นนำเอาระบบเอไอมาใช้ในการวิเคราะห์การรักษา
และตัดสินใจแทนแพทย์ที่เป็นมนุษย์.
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก thairath.co.th
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก thairath.co.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น