เคล็ดลับเปลี่ยน '5 ไลฟ์สไตล์' ห่างไกลมะเร็ง
League88Joz ในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี
ถือเป็นเดือนแห่งการป้องกันมะเร็งของสหรัฐฯ
ซึ่งทางสถาบันวิจัยมะเร็งของอเมริกาได้ค้นพบการเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิต หรือ
ไลฟ์สไตล์ 5 อย่าง เพื่อห่างไกลมะเร็ง
เบาหวาน และโรคอ้วน
นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์วิจัยมะเร็ง Fred Hutchinson ในซีแอตเติล
รวบรวมข้อมูลสุขภาพของผู้คน 340,000 คนจากทั่วโลก
เพื่อค้นหาความเชื่อมโยงระหว่างการดำเนินชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ
ที่ส่งผลให้ห่างไกลโรคร้าย ทั้งโรคอ้วน เบาหวาน รวมทั้งมะเร็งหลายชนิด และพบว่า
ไลฟ์สไตล์ที่ช่วยให้ห่างไกลโรคนั้น มีอยู่ 5 อย่าง ได้แก่
การไม่สูบบุหรี่ การควบคุมน้ำหนัก การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
และการควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ดร. แอนน์ แมคเทียร์แนน
จากศูนย์วิจัยมะเร็ง Fred Hutchinson บอกว่า
ผู้ที่ปฏิบัติตัวตาม 5 ไลฟ์สไตล์ห่างไกลโรคนั้น
จะลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปอด มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ใหญ่
ซึ่งเป็นมะเร็งได้พบได้บ่อยที่สุด ลงได้ถึงร้อยละ 32
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคของชาวอเมริกัน
รวมทั้งผู้คนทั่วโลก คือ การหลีกเลี่ยงอาหารที่อุดมไปด้วยไขมัน น้ำตาล และเกลือ
อันเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานและโรคอ้วน เพราะทุกคนทราบดีว่าต้องหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกฟาสต์ฟู้ด
ทว่าร้านอาหารเหล่านี้ก็มีมากมายและหาได้ง่ายกว่าอาหารเพื่อสุขภาพ
ขณะเดียวกันการเปลี่ยนพฤติกรรมให้รับประทานอาหารที่ดีต่อร่างกายก็เป็นเรื่องยากสำหรับหลายคน
นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์วิจัยมะเร็ง Fred Hutchinson บอกว่า หากต้องการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น
อย่ารอให้รัฐบาลหรือธุรกิจอาหารยักษ์ใหญ่มาเป็นคนกำหนดทางเลือกของอาหารการกินของทุกคน
แต่เราควรเป็นผู้กำหนดอาหารที่บริโภคเพื่อร่างกายของตัวเอง
ขณะที่ปัจจุบัน
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์สุขภาพของสหรัฐฯ ได้พัฒนาอุปกรณ์ตรวจเลือดแบบง่ายๆ
ที่สามารถตรวจสอบโอกาสการเกิดมะเร็งหลายชนิด ก่อนที่จะลุกลามรุนแรงได้
ดร.แอนน์ มองว่า
การตรวจสอบเบื้องต้นเหล่านี้จะเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงที่คืบคลานเข้ามา
และอาจเป็นจุดเปลี่ยนหรือเป็นแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นของแต่ละบุคคลได้
อย่างไรก็ตาม ดร. แอนน์
ทิ้งท้ายไว้ว่า อย่ารอให้สัญญาณโรคร้ายมาเยือน แต่ควรศึกษาแนวทางห่างไกลโรค
หมั่นตรวจสอบน้ำหนักของตัวเอง
ตรวจสอบประวัติสุขภาพของตนและคนในครอบครัวว่ามีความเสี่ยงของโรคมะเร็ง เบาหวาน
หรือโรคอ้วนหรือไม่ ที่สำคัญ เธอหวังว่างานวิจัยชิ้นนี้
อาจช่วยเตือนใจให้หลายคนเริ่มหันมาดูแลตัวเองอย่างถูกต้องและปลอดภัย
เพื่อสุขภาพที่ดีได้ไม่มากก็น้อย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก voathai.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น