วัณโรค
รักษาให้หายขาดได้ด้วยการกินยาให้ครบ (Tuberculosis)
League88Joz วัณโรค (Tuberculosis) เป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่งที่เกิดจากเชื้อ Mycobacterium tuberculosis นอกจากจะทำให้เกิดวัณโรคปอดแล้ว ยังส่งผลให้เกิดวัณโรคกับอวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้ เช่น ต่อมน้ำเหลือง กระดูกสันหลัง ข้อ ลำไส้ เยื่อหุ้มสมอง เป็นต้น วัณโรคสามารถรักษาได้ด้วยการกินยารักษาวัณโรค หากผู้ป่วยให้ความร่วมมือในการรักษาอย่างต่อเนื่อง
การติดต่อ
เชื้อวัณโรคเข้าสู่ร่างกายโดยการหายใจรับเชื้อโรคที่ปะปนอยู่ในละอองฝอย
ขณะที่ผู้ป่วยไอ จาม บ้วนน้ำลาย ขากเสมหะ หรือการใช้เสียง
เชื้อวัณโรคที่ตกลงสู่พื้นหรือติดอยู่กับผิวสัมผัสของวัตถุอื่นๆ
จะถูกทำลายไปได้ง่ายโดยแสงสว่างและอากาศที่ถ่ายเทสะดวก ดังนั้น สมาชิกในครอบครัว
ผู้ร่วมอาศัย รวมถึงเพื่อนร่วมงานที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค ควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองผู้สัมผัสโรค
และรับการรักษาแต่เนิ่นๆ
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดวัณโรค
สภาพร่างกาย
ความแข็งแรงของแต่ละบุคคล
โดยเฉพาะเด็กเล็กและผู้สูงอายุมีความเสี่ยงในการเป็นวัณโรคได้ง่าย
ผู้เป็นโรคเรื้อรัง
เช่น โรคเบาหวาน โรคพิษสุราเรื้อรัง โรคเอดส์ หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
ระยะเวลาและความใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค
อาการของผู้ป่วยวัณโรค
ในระยะแรกจะสังเกตได้ยากเพราะอาการเกิดขึ้นอย่างช้าๆ
ผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัวว่าเป็นวัณโรค อาการที่พบได้แก่
1. มีไข้เรื้อรังต่ำๆ
มักจะเป็นตอนเย็นหรือบ่าย บางรายอาจมีเหงื่อออกตอนกลางคืน
2. อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
3. ไอเรื้อรังนานเกิน 3 สัปดาห์ อาจมีเลือดออกร่วมได้
แนวทางการรักษา
แม้วัณโรคจะสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่มีโอกาสกลับไปเป็นซ้ำได้เช่นกันหากผู้ป่วยรับประทานยาไม่ครบตามกำหนด
ดังนั้น เป้าหมายสำคัญในการรักษา คือ การรักษาให้หายขาดเพื่อหยุดการแพร่กระจายเชื้อและป้องกันการดื้อยาของเชื้อวัณโรค
ผู้ป่วยวัณโรคมีระยะเวลาในการรักษาทั้งหมด
6 เดือน โดย 2 เดือนแรกต้องรับประทานยา 4 ชนิด เช่น isoniazid,
rifampicin, pyrazinamide, ethambutol
เมื่อรักษาครบ
2 เดือนแพทย์จะตรวจเสมหะหรือเอกซเรย์ปอดซ้ำ
หากมีการตอบสนองที่ดีแพทย์จะลดยาเหลือ 2 ชนิด
และให้การรักษาต่อไปอีก 4 เดือน
การปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยวัณโรค
ข้อควรปฏิบัติ
ต้องรับประทานยาให้ครบตามที่แพทย์กำหนด
หลังได้รับการรักษาไปแล้ว 2-4 สัปดาห์อาการจะดีขึ้น
ไข้ลดลง ไอน้อยลง รับประทานอาหารได้มากขึ้น น้ำหนักเพิ่มขึ้น
เมื่อผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นมักเข้าใจผิดว่ารักษาหายแล้วจึงไม่รับประทานยาต่อ
แต่ในความเป็นจริงการรับประทานยาไม่ครบตามกำหนดไม่สามารถรักษาให้หายได้และทำให้เชื้อดื้อยา
ส่งผลให้การรักษายากขึ้นหรือรักษาไม่ได้เลย
แพทย์จะให้ผู้ป่วยรับประทานยาวันละ
1 ครั้ง ส่วนใหญ่คือก่อนนอน
ห้ามแบ่งรับประทานยาหลายเวลาตามมื้ออาหาร
เพราะจะทำให้ระดับยาในการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร
หลังรับประทานยาหากมีอาการคลื่นไส้
อาเจียน หรือมีผื่นคัน ให้ติดตามผลข้างเคียงอย่างใกล้ชิด
หากมีอาการเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ให้หยุดยาทั้งหมดแล้วรีบมาพบแพทย์
ในช่วงแรกของการรักษาผู้ป่วยควรแยกห้องนอนและหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้อื่น
หลังรับประทานยาแล้ว 2 สัปดาห์
สามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้ตามปกติ
ขณะไอหรือจามต้องใช้ผ้าปิดปาก
ปิดจมูก บ้วนเสมหะลงในภาชนะหรือถุงที่ปิดมิดชิด
แล้วนำไปทิ้งในถังขยะเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
รับประทานอาหารให้ครบ
5 หมู่
ดูแลร่างกายให้แข็งแรงเพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทาน และออกกำลังกายได้ตามความเหมาะสม
ควรอยู่ในสถานที่ๆ
มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ห้องมีลักษณะโปร่ง โล่ง มีหน้าต่าง
ข้อควรหลีกเลี่ยง
งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
หลีกเลี่ยงการใช้ยาอื่นๆ
ที่ไม่จำเป็นเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับอักเสบจากยาและผลข้างเคียงอื่นๆ
ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางในที่สาธารณะที่มีผู้คนแออัด
เช่น โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า
หรือการเดินทางด้วยยานพาหนะร่วมกับผู้อื่นเป็นเวลานานเกิน 8 ชั่วโมงขึ้นไป
ควรหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ในระหว่างรักษาวัณโรค
เลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเอสโตรเจน เพราะจะทำให้การคุมกำเนิดไม่ได้ผล
ขอขอบคุณข้อมูลจาก siphhospital.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น