นอนกรน โรคหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea)
League88Joz นอนกรนเป็นอาการที่พบบ่อยมาก และเกิดขึ้นได้ทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ แท้จริงแล้วเสียงกรนเป็นอาการที่บ่งบอกว่ากำลังมีการตีบแคบของทางเดินหายใจส่วนต้น ซึ่งอาจเป็นตั้งแต่จมูก ช่องลำคอ โคนลิ้น หรือบางส่วนของกล่องเสียง ซึ่งเกิดการหย่อนตัวลงในขณะนอนหลับ จนทำให้เมื่อลมหายใจผ่านเนื้อเยื่อดังกล่าว เกิดการสั่นสะเทือนและมีเสียงดังขึ้น อาการตีบแคบของทางเดินหายใจส่วนต้นนี้อาจเป็นเพียงบางส่วน หรือบางครั้งรุนแรงจนอุดกั้นลมหายใจทั้งหมด ทำให้ไม่สามารถหายใจเข้าออกได้เป็นระยะๆ ซึ่งเราเรียกลักษณะดังกล่าวว่า “โรคหยุดหายใจขณะหลับชนิดอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea, OSA)” หรือที่นิยมเรียกง่ายๆ ว่า “โรคหยุดหายใจขณะหลับ” ซึ่งทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้หลายอย่าง เช่น เป็นสาเหตุและความเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง หรืออัมพฤกษ์และอัมพาต ภาวะซึมเศร้าเรื้อรัง การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุอันเนื่องมาจากความง่วงนอนมากผิดปกติ หรืออาจก่อให้เกิดความรำคาญอย่างมากต่อผู้นอนร่วมห้อง เกิดเป็นปัญหาทางครอบครัวหรือสังคม ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกอายและเสียบุคลิกภาพได้ สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม คือ หากมีการหยุดหายใจขณะหลับในเด็ก อาจทำให้มีความผิดปกติของพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกายและสติปัญญา เกิดพฤติกรรมซุกซนก้าวร้าว ปัสสาวะรดที่นอน มีผลการเรียนแย่ลง หรือมีปัญหาสังคมสำหรับเด็กได้
โรคหยุดหายใจขณะหลับ
คาดว่าพบในประเทศไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ
4 ของผู้ชายหรือร้อยละ 2 ของผู้หญิงวัยทำงาน
และพบได้มากกว่าในผู้สูงอายุ นอกจากนี้ ยังพบได้ประมาณร้อยละ 1 ของเด็กก่อนวัยเรียนและช่วงประถม
อาการที่บ่งบอกว่าอาจเป็นโรคหยุดหายใจขณะหลับ
- นอนกรนดังมากเป็นประจำ จนเกิดความรำคาญต่อผู้ที่นอนร่วมด้วย
- รู้สึกนอนหลับไม่เต็มอิ่ม ตื่นบ่อย มีอาการไม่สดชื่น
- คอแห้ง
- ปวดศีรษะเป็นประจำตอนเช้า
- ง่วงนอนมากผิดปกติในระหว่างวัน
- หงุดหงิดง่าย อารมณ์ไม่ดี
- มีโรคประจำตัวร่วมด้วย เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ
- มีผู้อื่นสังเกตเห็นว่าหายใจไม่สม่ำเสมอและมีเสียงกรนดังแต่หยุดเป็นช่วงๆ
ในเด็ก หากบุตรหลานของท่านนอนกรนดังเป็นประจำ หรือกระสับกระส่าย หายใจลำบาก
คัดจมูกเป็นประจำต้องอ้าปากหายใจบ่อยๆ อาจมีปัสสาวะรดที่นอนเป็นประจำ
หรือมีพฤติกรรมซุกซนก้าวร้าว ผลการเรียนแย่ลง เติบโตช้ากว่าวัย
ลักษณะเหล่านี้จึงสงสัยได้ว่าเด็กอาจเป็นโรคหยุดหายใจขณะหลับ
การตรวจวินิจฉัย
หากสงสัยว่ามีปัญหาดังกล่าว
ควรมาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพร้อมกับคู่สมรสหรือผู้ที่สังเกตเห็นอาการของท่านขณะนอน เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม
โดยมีขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยดังนี้
1. ท่านจะได้รับแบบสอบถามประวัติที่เกี่ยวกับสุขภาพการนอนของท่าน
(Sleep History) หลังจากนั้นแพทย์จะทบทวนและซักถามอาการต่างๆ
รวมถึงปัจจัยสำคัญอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง (Medical History)
2. ท่านจะได้รับการตรวจร่างกาย
ตั้งแต่การชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดชีพจร และความดันโลหิต
วัดเส้นรอบวงคอหรือรอบเอว หลังจากนั้นแพทย์จะตรวจร่างกายบริเวณศีรษะ ใบหน้า คอ
จมูก และช่องปากอย่างละเอียดเพื่อประเมินลักษณะทางเดินหายใจส่วนต้น
รวมถึงตรวจร่างกายทั่วไป เช่น ปอด หัวใจ หรือระบบอื่นๆ
ในส่วนที่สำคัญและเกี่ยวข้อง
3. ในหลายกรณีอาจต้องตรวจทางจมูกและลำคอด้วยการส่องกล้อง
(Endoscopy) และส่งเอกซเรย์ (X-ray) บริเวณศีรษะ
ลำคอ หรือการตรวจพิเศษอื่นๆ เช่น การเจาะเลือด การตรวจปัสสาวะ
หรือการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และอื่นๆ ตามความจำเป็น
4. ท่านอาจได้รับการแนะนำให้ตรวจสุขภาพขณะนอนหลับด้วยเครื่อง
Polysomnography หรือเรียกง่ายๆ ว่า Sleep Lab Study ซึ่งเป็นการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) คลื่นไฟฟ้าหัวใจ
(EKG) คลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ รอบตา ใบหน้า และบริเวณขา (EOG
and EMG) วัดระดับการหายใจผ่านทางจมูก วัดรอบอกและรอบท้อง
รวมถึงการวัดระดับออกซิเจนในเลือด วัดระดับเสียงกรนด้วยไมโครโฟนขนาดเล็ก
โดยจะบันทึกภาพวิดีโอไว้เพื่อวิเคราะห์อย่างละเอียดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับต่อไป
แนวทางการรักษา
แนวทางการรักษามีหลายวิธีขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรง
รวมถึงสาเหตุหรือปัจจัยที่พบ
ซึ่งแพทย์จะให้คำอธิบายหลังจากตรวจยืนยันในข้างต้นแล้วและพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสมกับแต่ละราย
1. การดูแลและปฏิบัติตัวเบื้องต้น
ได้แก่ การปรับสุขอนามัยการนอน เช่น นอนพักผ่อนให้พอเพียง
เข้านอนและตื่นนอนอย่างตรงเวลาสม่ำเสมอ งดเว้นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อนนอน
หลีกเลี่ยงการใช้ยานอนหลับและยาที่มีฤทธิ์กดประสาทหรือคลายกล้ามเนื้อ งดเว้นดื่มชา
กาแฟ และหยุดสูบบุหรี่ในช่วงบ่าย ที่สำคัญคือ
ในรายที่อ้วนหรือน้ำหนักเกินต้องลดน้ำหนัก ควบคุมอาหาร
และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
2. การรักษาปัจจัยเสี่ยงหรือโรคร่วมที่อาจเป็นสาเหตุ
เช่น โรคเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบเนื้องอกบริเวณทางเดินหายใจ โรคทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อ หรืออื่นๆ
ซึ่งควรได้รับการรักษาโรคเหล่านี้ควบคู่กันไป
3. การรักษาจำเพาะ
แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่
3.1 การรักษาด้วยเครื่องอัดอากาศแรงดันบวก
(Positive Airway Pressure Therapy) โดยเครื่องมือที่
“ซีแพ็บ” (CPAP) มีหลักการ คือ
เครื่องจะเป่าลมผ่านทางช่องจมูกและหรือทางปาก เพื่อให้มีความดันลมแรงพอที่จะเปิดช่องคอซึ่งเป็นทางเดินหายใจส่วนต้นได้ตลอดเวลาขณะนอนหลับ
ในกลุ่มนี้มีหลายแบบ อาจเป็นแบบธรรมดา แบบความดันลม 2 ระดับ
(BiPAP) หรือแบบอัตโนมัติ (Auto-PAP) การรักษาด้วยวิธีนี้อาจจะเป็นวิธีที่ได้ผลและมีความปลอดภัยสูง
หากใช้เครื่องได้อย่างถูกต้องและต่อเนื่องตลอดทุกคืน แต่ละแบบมีค่าใช้จ่าย ข้อดี
ข้อเสียหรือข้อจำกัดแตกต่างกันไป ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนทดลองใช้
และติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
3.2 การใช้เครื่องมือในช่องปาก
(oral appliances) หลักการ คือ
ใส่เครื่องมือลักษณะคล้ายฟันยางหรือเครื่องดัดฟันเพื่อป้องกันลิ้นตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจ
วิธีนี้ได้ผลดีในรายที่เป็นไม่รุนแรง ปัจจุบันมีหลายชนิด มีข้อดีข้อเสีย
หรือข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป ดังนั้น จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อน
3.3 การรักษาด้วยการผ่าตัด
(Surgical Treatment) กล่าวโดยรวมแล้วการรักษาด้วยวิธีผ่าตัดแต่ละวิธีได้ผลดีไม่เท่ากัน
และอาจมีข้อดีข้อเสียที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคนต่างกัน
ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนการตัดสินใจทุกครั้ง ปัจจุบันมีวิธีการผ่าตัดหลายวิธี
ซึ่งมีข้อดี ข้อเสียหรือความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น
- การผ่าตัดจมูก เช่น
ใช้คลื่นวิทยุเพื่อลดขนาดของเยื่อบุเทอร์บิเนตอันล่าง (Radiofrequency) หรือผ่าตัดเพื่อดัดผนังกั้นช่องจมูกในรายที่คดมาก (Septoplasty) รวมไปถึงการผ่าตัดริดสีดวงจมูกหรือไซนัสอักเสบ
เฉพาะในรายที่มีปัญหาดังกล่าว
- การผ่าตัดต่อมทอนซิล (Tonsillectomy) และหรือต่อมอะดีนอยด์ (Adenoidectomy)
วิธีนี้มีประโยชน์กับผู้ที่มีต่อมทอนซิลโตมาก
หรือในเด็กที่มีต่อมอะดีนอยด์และทอนซิลโต
- การผ่าตัดตกแต่งเพดานอ่อน (Uvulopalatopharyngoplasty หรือ UPPP) ปัจจุบันการผ่าตัดแบบนี้มีหลายวิธี
และไม่จำเป็นต้องตัดลิ้นไก่ออกทั้งหมด หลักการคือ
การผ่าตัดเพื่อลดขนาดของลิ้นไก่และขยายช่องทางเดินหายใจบริเวณลำคอ
วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องเพดานหย่อนหรือลิ้นไก่ยาวกว่าปกติ
- การผ่าตัดบริเวณโคนลิ้น เช่น
การใช้คลื่นความถี่วิทยุเพื่อลดขนาดของลิ้น
หรือการผ่าตัดดึงขากรรไกรล่างบางส่วนมาด้านหน้า
วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาอุดกั้นบริเวณโคนลิ้น
- การผ่าตัดเลื่อนกรามและขากรรไกรทั้งบนล่างมาด้านหน้า (Maxillomandibular
Advancement: MMA) เป็นการผ่าตัดที่ได้ผลดีที่สุดในปัจจุบัน
เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรง วิธีนี้เป็นการผ่าตัดค่อนข้างใหญ่
แพทย์และทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะให้คำแนะนำกับผู้ป่วยโดยตรง การเจาะคอ (Tracheostomy) เป็นการรักษาที่ได้ผลเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยต้องมีรูด้านหน้าลำคอและใส่ท่อเพื่อการหายใจ
จึงมักเป็นทางเลือกสุดท้ายในกรณีที่รักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล
- การลดเสียงกรนด้วยเทคโนโลยีใหม่และไม่ต้องดมยาสลบ กลุ่มการรักษาด้วยวิธีนี้มีหลายวิธีมาก ได้แก่
การใช้คลื่นความถี่วิทยุบริเวณเพดานอ่อน (Radiofrequency
palatoplasty), การฝังไหมพิลล่า (Pillar Implantation) การยิงเลเซอร์เพดานอ่อน (Laser Assisted Uvulopalatoplasty, LAUP) เป็นต้น แต่ละอย่างเป็นวิธีที่ค่อนข้างปลอดภัย มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
สามารถทำได้ง่ายใช้เวลาเพียง 10 - 15 นาทีหลังการฉีดยาชาเฉพาะที่
และไม่ต้องนอนโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม
กลุ่มการรักษานี้เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีภาวะหยุดหายใจหรือผู้ที่มีอาการรุนแรงน้อยเท่านั้น
การนอนกรน อาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นของอันตรายที่ซ่อนอยู่โดยที่ท่านไม่รู้ตัว
คือ โรคหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งสามารถรักษาได้และช่วยลดปัญหาหรือความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ
ที่อาจตามมาในภายหลังได้ไม่มากก็น้อย
ดังนั้นหากท่านหรือคู่สมรสและบุตรหลานของท่านนอนกรนดังมากเป็นประจำ
ท่านอาจพิจารณาเข้ามาพบแพทย์เพื่อรับคำแนะนำ
และการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไป
ขอขอบคุณข้อมูลจาก siphhospital.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น