เจาะหู เรื่องต้องรู้ก่อนตัดสินใจ
League88Joz เจาะหู เป็นแฟชั่นเพื่อความสวยความงาม และช่วยเสริมสร้างบุคลิกและความมั่นใจ แต่หากไปเจาะหูกับผู้ที่ไม่ชำนาญหรือมีการรักษาความสะอาดที่ไม่เพียงพอ ก็อาจเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือติดโรคต่าง ๆ เช่น ไวรัสตับอักเสบ บี บาดทะยัก หรือฝี ได้ ดังนั้น เบื้องต้นก่อนที่จะตัดสินใจไปเจาะหู ควรทำความเข้าใจและเตรียมตัวให้ดีก่อน เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
ก่อนตัดสินใจเจาะหูควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
?
ข้อควรคำนึงก่อนตัดสินใจจะไปเจาะหู
ได้แก่
- สำหรับวัยรุ่นที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรขออนุญาตหรือปรึกษากับผู้ปกครองก่อน
- โดยส่วนใหญ่โรงเรียนจะไม่อนุญาตให้นักเรียนเจาะหูหรือเจาะอวัยะอื่น ๆ บนใบหน้า ดังนั้น วัยรุ่นหรือเด็กวัยเรียนหนังสือควรตรวจสอบกฎระเบียบของโรงเรียนก่อน
- บางหน่วยงานหรือบริษัทจะไม่รับพนักงานที่เจาะหูหรือเจาะอวัยวะอื่น ๆ บนใบหน้า ดังนั้น ก่อนเจาะหูควรดูถึงความเหมาะสมในการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันของตนเอง
- โดยส่วนใหญ่หน่วยงานที่รับบริจาคเลือด
มักจะไม่รับผู้ที่มีประวัติเจาะหูหรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกายภายในช่วงระยะเวลา 1 ปี ก่อนหน้า ดังนั้น
ผู้ที่ต้องการบริจาคเลือดควรตรวจสอบและวางแผนก่อนไปเจาะเลือด
- ก่อนที่จะรับการเจาะหู ควรตรวจสอบว่าตนเองมีภูมิต้านทานโรคจากวัคซีนป้องกันโรค เช่น ไวรัสตับอักเสบ บี หรือบาดทะยัก อยู่หรือไม่ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดโรคดังกล่าว
การเลือกสถานที่ที่จะไปเจาะหูควรคำนึงถึงอะไรบ้าง?
เบื้องต้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเลือกสถานที่ที่จะไปเจาะหู
คือสภาพแวดล้อมที่สะอาดและมีการดูแลอุปกรณ์ที่ดีได้มาตรฐาน นอกจากนั้น
เพื่อความปลอดภัยของตนเองอาจปฏิบัติดังต่อไปนี้
- ตรวจสอบว่ามีสถานพยาบาลที่ใดหรือปรึกษาแพทย์ เพราะโรงพยาบาลบางแห่งจะมีแพทย์ที่สามารถเจาะหูให้ได้ เช่น แพทย์โรคผิวหนัง ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ต้องการเจาะหูมั่นใจได้ถึงความสะอาดของอุปกรณ์และขั้นตอนการเจาะหูที่ถูกต้อง
- ควรปรึกษาแพทย์และขอคำแนะนำว่าควรไปเจาะหูที่ใด ในกรณีที่ไม่สามารถหาแพทย์เพื่อเจาะหูได้
- สืบค้นข้อมูลว่าสถานที่ที่ตนเองจะไปเจาะหู มีการให้บริการและขั้นตอนที่มีความปลอดภัย หรือมีใบรับรองจากหน่วยงานของรัฐหรือไม่
- หากเลือกที่จะไปเจาะหูตามร้านหรือศูนย์การค้าทั่วไป ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าพนักงานที่จะเจาะหูให้ ได้ใช้อุปกรณ์ที่ปลอดเชื้อหรืออุปกรณ์เจาะหูที่ใช้แล้วทิ้งทันที และไม่นำของมีคมที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่
- ตรวจสอบดูว่าผู้ที่จะเจาะหูให้ ทำความสะอาดหรือล้างมือด้วยสบู่ฆ่าเชื้อโรค รวมไปถึงใส่ถุงมือคู่ใหม่ทุกครั้งหรือใหม่
- ควรเลือกร้านที่ใช้เครื่องอบความร้อนสูงด้วยไอน้ำ ซึ่งจะใช้สำหรับฆ่าเชื้ออุปกรณ์ที่ใช้เจาะหู
- การเลือกใช้เข็มเจาะมักจะมีความสะอาดและง่ายต่อการฆ่าเชื้อมากกว่าการใช้ปืนเจาะ แต่หากเลือกที่จะใช้ปืนเจาะ ควรแน่ใจว่าปืนเจาะนั้นใช้แล้วทิ้งทันที ไม่นำกลับมาใช้ใหม่ หรือควรผ่านขั้นตอนการฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง นอกจากนั้น ปืนเจาะหูควรใช้สำหรับเจาะที่ติ่งหูเท่านั้น เพราะปืนเจาะจะสร้างความเสียหายให้กับเนื้อเยื่อผิวหนังมากกว่าการใช้เข็ม
นอกจากนั้น
ผู้ที่ต้องการเจาะหูไม่ควรเจาะหูด้วยตนเองหรือให้ผู้อื่นมาเจาะให้
รวมไปถึงเลือกที่จะไปเจาะหูกับร้านที่ดูไม่สะอาดหรือไม่น่าไว้ใจ
เพราะอาจทำให้เสี่ยงติดเชื้อหรือได้รับโรคต่าง ๆ ตามมา
การดูแลตนเองภายหลังเจาะหู
แผลที่เกิดขึ้นหลังเจาะหูจะมีการฟื้นฟูที่แตกต่างกันไป
โดยจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เจาะ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเจาะที่ติ่งหู
ซึ่งแผลจะใช้ระยะเวลาในการฟื้นฟูประมาณ 6-8 สัปดาห์ หรือถ้าเป็นบริเวณกระดูกอ่อนที่ใบหู แผลก็จะใช้ระยะเวลาในการฟื้นฟูประมาณ
4 เดือน ถึง 1 ปี
การดูแลตนเองภายหลังการเจาะหู
มีดังนี้
- ควรล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดทุกครั้ง ก่อนที่จะทำความสะอาดบริเวณใบหูหรือต่างหู
- ควรทำความสะอาดบริเวณที่เจาะหูรวมไปถึงหลังใบหู
ด้วยสำลีชุบแอลกอฮอล์ ไฮโดรเจน เปอร์ออกไซด์
หรือสารละลายที่ใช้สำหรับทำความสะอาด วันละ 2 ครั้ง
- ควรทำความสะอาดต่างหูด้วยน้ำเกลือ และควรให้แน่ใจว่าต่างหูสะอาดอยู่เสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการติดเชื้อ
- หลังจากเจาะหู ควรค่อย ๆ หมุนและขยับต่างหูไปข้างหน้าและหลัง เพื่อคงรูปของรูที่เจาะไว้
- ต่างหูที่ใส่ไม่ควรแน่นเกินไป
- ไม่ควรเอาต่างหูที่ใส่ไว้หลังจากการเจาะออก
จนกว่าจะผ่านไปอย่างน้อยเป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ เพื่อป้องกันไม่ให้รูที่เจาะอุดตัน
- หลังจากผ่านไปเป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์
ควรเอาต่างหูอันเก่าออกและใส่อันใหม่ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งจะทำให้รูที่เจาะคงอยู่อย่างถาวร
- ควรเลือกใช้ต่างหูที่มีคุณภาพดีเพื่อลดโอกาสในการแพ้หรือติดเชื้อ
เจาะหูมีความเสี่ยงต่อสุขภาพอย่างไร ?
โดยทั่วไปหากเจาะหูกับผู้ที่มีความชำนาญ
อุปกรณ์และสภาพแวดล้อมที่สะอาด มักจะมีความปลอดภัย
แต่หากอุปกรณ์ที่ใช้ในการเจาะหูไม่สะอาดหรือปนเปื้อน
ผู้ที่เจาะหูอาจเสี่ยงได้รับโรคที่ติดต่อทางกระแสเลือด ซึ่งได้แก่
- ไวรัสตับอักเสบ บี
- ไวรัสตับอักเสบ ซี
- โรคบาดทะยัก
- เชื้อเอชไอวี (HIV)
- ความเสี่ยงทั่วไปที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ที่เจาะหู ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมหรือใช้อุปกรณ์ที่ปลอดเชื้อ ได้แก่
- การติดเชื้อเรื้อรัง
- ภูมิแพ้ผิวหนังหรือการแพ้วัสดุที่ใช้ทำต่างหู
- ฝี
- เกิดการอักเสบหรือความเสียหายต่อเส้นประสาท
- มีเลือดไหลเยอะหรือเป็นเวลานาน
- ผู้ที่ตัดสินใจเจาะหูบริเวณกระดูกอ่อนของใบหู
อาจทำให้เกิดการอักเสบของกระดูกอ่อนของใบหู (Perichondritis)
ซึ่งอาจทำให้เกิดผลที่ร้ายแรงตามมาภายหลัง ถึงขั้นใบหูเสียรูป (Cauliflower
Ear)
นอกจากนั้น ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
โรคหัวใจ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์
ผู้ที่ใช้ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด รวมไปถึงผู้ที่สงสัยว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์
ควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะตัดสินใจเจาะหูหรือเจาะอวัยวะส่วนใด ๆ ของร่างกาย
เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาต่อสุขภาพ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก pobpad.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น