ความหมาย ท้องเสีย
League88Joz ท้องเสีย หรือ อุจจาระร่วง (Diarrhea) เป็นอาการถ่ายอุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำมากกว่าปกติ
หรือในบางครั้งถ่ายเป็นมูกปนเลือด มักเกิดจากการติดเชื้อหรือภาวะอาหารเป็นพิษ
หลังจากการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป โดยอาการจะเกิดขึ้นในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน
แต่ในบางรายอาจอาการเรื้อรังเป็นเวลานาน ซึ่งอาจเกิดจากโรคอื่น ๆ ได้ เช่น
โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory Bowel Disease: IBD) หรือโรคลำไส้แปรปรวน
(Irritable Bowel Syndrome: IBS)
อาการท้องเสีย
อาการของโรคที่พบได้บ่อย
จะมีการถ่ายอุจจาระเหลว ถ่ายเป็นน้ำมากกว่า 3 ครั้งขึ้นไป ถ่ายบ่อยกว่าปกติของแต่ละคน หรือถ่ายเป็นมูกปนเลือด 1 ครั้งหรือมากกว่านั้นภายใน 24 ชั่วโมง
ในบางรายอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดท้อง ท้องอืด คลื่นไส้ อ่อนเพลีย
รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว และมีไข้
ถึงแม้ท้องเสียมักจะเป็นอาการที่ไม่ร้ายแรง
แต่อาจสร้างความทรมานให้แก่ผู้ป่วยและเป็นเรื้อรังจนก่อให้เกิดโรคอื่น ๆ
ตามมาในภายหลัง ผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการดังต่อไปนี้
- เกิดภาวะขาดน้ำหรือมีอาการท้องเสียมากกว่า 2 วัน สำหรับเด็กเล็กหรือทารกหากมีอาการเกิน 1 วัน
ควรรีบพาไปพบแพทย์ เนื่องจากเสี่ยงกับการเสียชีวิตจากภาวะขาดน้ำ
- มีอาการปวดอย่างรุนแรงในช่องท้องหรือทวารหนัก
- ไข้ขึ้นสูงกว่า 39 องศาเซลเซียส
ถ่ายอุจจาระมีเลือดหรืออุจจาระเป็นสีดำ
สาเหตุของท้องเสีย
โดยปกติลำไส้จะดูดซึมสารอาหารในรูปแบบของเหลวจากสิ่งที่รับประทานเข้าไปในร่างกายจนเหลือแต่กากใยทิ้งไว้
แต่เมื่อเกิดอาการท้องเสียขึ้น ทำให้ลำไส้ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
สารอาหารเหล่านั้นจึงไม่ถูกดูดซึมและถูกขับออกมาจากร่างกาย
การถ่ายอุจจาระเหลวหรือถ่ายเป็นมูกเลือดนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ
แบ่งออกเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง
ดังต่อไปนี้
ท้องเสียแบบเฉียบพลัน
- อาการท้องเสียแบบเฉียบพลับมักเกิดจากโรคกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กอักเสบ เนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส หรือเชื้อปรสิต ดังนี้
- การติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อแบคทีเรียที่มักปนเปื้อนในน้ำหรืออาหาร
และก่อให้เกิดอาการท้องเสียตามมา ได้แก่ เชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ เชื้อซาลโมเนลลา
เชื้อชิเกลลา และเชื้ออีโคไล
- การติดเชื้อไวรัส มีไวรัสหลายชนิดที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสีย เช่น
โรต้าไวรัส โนโรไวรัส ไซโตเมกาโลไวรัส
เฮอร์พีส์ซิมเพล็กซ์ไวรัส ไวรัสตับอักเสบ เป็นต้น
โดยโรต้าไวรัสเป็นสาเหตุของการเกิดอาการท้องเสียในเด็กมากที่สุด
ซึ่งสามารถหายได้ภายใน 3-7 วัน
แต่อาจจะก่อให้เกิดปัญหาในการย่อยและดูดซึมแล็กโทสที่พบในน้ำนมได้
- การได้รับเชื้อปรสิต เชื้อปรสิตสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านอาหารและน้ำที่ปนเปื้อน
และอาศัยอยู่ในระบบย่อยอาหารของคนเรา เชื้อปรสิตที่มักพบ คือ เชื้อไกอาเดีย
เชื้อแอนตามีบาฮิสโตลิติกาหรือเชื้อบิดอะมีบา และเชื้อคริปโตสปอริเดียม
นอกจากนี้
อาการท้องเสียที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันอาจเกิดจากปัจจัยอื่น เช่น อาการวิตกกังวล
การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากเกินไป การแพ้อาหารบางชนิด ไส้ติ่งอักเสบ
หรือเยื่อบุลำไส้เสียหายจากการฉายรังสี เป็นต้น
ท้องเสียแบบเรื้อรัง
อาการท้องเสียที่เกิดขึ้นติดต่อกันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ขึ้นไป จะถือเป็นอาการท้องเสียเรื้อรัง ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยต่อไปนี้
โรคในระบบทางเดินอาหารและโรคลำไส้ผิดปกติ เช่น โรคโครห์น โรคลำไส้อักเสบ โรคเซลิแอคหรือแพ้กลูเตน
โรคลำไส้แปรปรวน โรคถุงผนังลำไส้อักเสบ
โรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น
อาหาร บางคนอาจมีปัญหาในการย่อยสารอาหารบางประเภท
อย่างการขาดน้ำย่อยสำหรับย่อยน้ำตาลแล็กโทส
ซึ่งเป็นน้ำตาลที่พบมากในนมหรือผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับนม นอกจากนี้
การรับประทานสารทดแทนความหวานในปริมาณมากก็อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสียได้เช่นกัน
การตอบสนองต่อยาบางประเภท ยาปฏิชีวนะ ยารักษาโรคมะเร็ง
รวมถึงยาลดกรดที่มีแมกนีเซียม สามารถทำให้เกิดอาการท้องเสียได้
การผ่าตัด อาการท้องเสียอาจเกิดขึ้นหลังจากเข้ารับการผ่าตัดบางชนิด
อย่างการผ่าตัดลำไส้ หรือการผ่าตัดนำถุงน้ำดีออกไป
การวินิจฉัยอาการท้องเสีย
กรณีที่อาการของโรคไม่รุนแรง
ในขั้นแรกแพทย์จะซักถามประวัติทางการแพทย์ สอบถามถึงอาการป่วย
และตรวจร่างกายเบื้องต้นอย่างการตรวจความดันโลหิต
แต่หากอาการรุนแรงหรือสาเหตุของโรคไม่ชัดเจน
แพทย์อาจจำเป็นต้องใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม ดังนี้
- การตรวจเลือด ตัวอย่างเลือดของผู้ป่วยจะถูกนำไปตรวจสอบ
เพื่อหาสัญญาณของโรคหรือความผิดปกติที่อาจเป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย
- การตรวจอุจจาระ ผู้ป่วยจำเป็นต้องเก็บตัวอย่างอุจจาระของตนเอง
เพื่อให้ทางแพทย์นำไปตรวจหาเลือด เชื้อโรค
หรือสัญญาณของโรคที่อาจเป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย
- การส่องกล้องตรวจทางเดินอาหาร คือ การสอดกล้องเข้าไปทางปากแล้วตรวจอวัยวะต่าง ๆ
ของระบบย่อยอาหาร เพื่อหาสาเหตุของอาการท้องเสีย
การรักษาอาการท้องเสีย
กรณีที่ผู้ป่วยท้องเสียอย่างเฉียบพลัน
ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาเฉพาะ เพราะอาการป่วยจะค่อย ๆ
ดีขึ้นเองตามลำดับ แต่ผู้ป่วยก็ควรดื่มน้ำมาก ๆ หรือดื่มผงน้ำตาลเกลือแร่โออาร์เอส (ORS) เพื่อชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่ร่างกายสูญเสียไป
นอกจากนี้
การรับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการท้องเสียตามที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำอย่างยา Diosmectite
ควบคู่ไปกับการดื่มน้ำและผงเกลือแร่ซึ่งเป็นการรักษาหลักก็อาจช่วยบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้ โดยงานวิจัยบางส่วนพบว่าผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันที่มีอาการไม่รุนแรงมาก
มีความถี่ในการถ่ายอุจจาระลดลงหลังจากใช้ยา Diosmectite ซึ่งยาชนิดนี้มีคุณสมบัติช่วยดูดซับสารพิษในระบบทางเดินอาหารและอาจช่วยยับยั้งเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วงได้
ทั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และสารอื่น ๆ นอกจากนี้
หากพบว่าอาการท้องเสียเกิดจากโรคหรือความผิดปกติที่ค่อนข้างร้ายแรงอย่างโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
ผู้ป่วยจำเป็นต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบทางเดินอาหารคอยดูแล
เพื่อวางแผนการรักษาโรคหรือความผิดปกติที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้องต่อไป
ทั้งนี้
ผู้ที่ท้องเสียควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของตนเอง
โดยเฉพาะสัญญาณของภาวะขาดน้ำและเกลือแร่
ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบอื่น ๆ ในร่างกาย
และถือว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งโดยเฉพาะในเด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
เพราะอาจทำให้อวัยวะภายในเกิดความเสียหาย หากมีอาการรุนแรง ร่างกายจะเกิดอาการช็อกและหมดสติได้ สำหรับผู้ใหญ่
ให้ระวังสัญญาณที่บ่งบอกว่าร่างกายกำลังเผชิญกับภาวะขาดน้ำ เช่น กระหายน้ำอย่างมาก
ปัสสาวะน้อยกว่าปกติและมีสีเข้ม ผิวแห้ง อ่อนเพลีย และวิงเวียนศีรษะ เป็นต้น
ส่วนในทารกและเด็กเล็ก จะพบว่ามีอาการปากและลิ้นแห้ง ร้องไห้ไม่มีน้ำตา
ไม่ปัสสาวะเลยภายใน 3 ชั่วโมงหรือนานกว่านั้น ตาลึกโบ๋
มีไข้สูง และมีอาการกระสับกระส่ายหรือหงุดหงิด
ซึ่งการรักษาภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ในเบื้องต้นทำได้โดยดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ
รวมถึงรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมแร่ธาตุและวิตามินแก่ร่างกาย
ดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ หรือดื่มน้ำผสมผงน้ำตาลเกลือแร่โออาร์เอส
โดยทารกและเด็กเล็กเป็นวัยที่ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่
แต่สามารถดื่มผงน้ำตาลเกลือแร่โออาร์เอสสำหรับเด็กได้
นอกจากนั้น
ผู้ป่วยควรระมัดระวังเรื่องความสะอาดของอาหารเป็นหลัก
โดยเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุก ผ่านกระบวนการผลิตอย่างถูกสุขลักษณะ
และเน้นอาหารที่ย่อยง่ายอย่างโจ๊ก ข้าวต้ม น้ำซุป หรือขนมปัง
และควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทหมักดอง อาหารที่มีไขมันสูง เครื่องดื่มคาเฟอีน
ของหวาน ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับนม และอาหารรสจัด
เมื่อเริ่มมีอาการดีขึ้นก็อาจรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง
รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่มีจุลินทรีย์ชนิดที่ดีหรือโปรไบโอติกอย่างโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยว ซึ่งมีส่วนช่วยให้ลำไส้ย่อยอาหารได้ดี
ภาวะแทรกซ้อนของอาการท้องเสีย
ผู้ป่วยท้องเสียส่วนใหญ่มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงตามมา
แต่คนบางกลุ่มอย่างหญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่อไปนี้มากกว่าปกติ
- ภาวะขาดน้ำและเกลือแร่
- โรคลำไส้แปรปรวน
- ภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง
- กลุ่มอาการเม็ดเลือดแดงแตกยูรีเมีย หากท้องเสียจากการติดเชื้อบางชนิด
- ร่างกายส่วนอื่นตอบสนองต่อการติดเชื้อในทางเดินอาหารจนเกิดการอักเสบตามไปด้วย
- การติดเชื้อลุกลามไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ ในร่างกาย
การป้องกันอาการท้องเสีย
ท้องเสียเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้บ่อยครั้งในชีวิตประจำวัน
ซึ่งการติดเชื้อในทางเดินอาหารจัดเป็นสาเหตุหลักประการหนึ่งที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสีย
ดังนั้น การรักษาความสะอาดและเลือกรับประทานอาหารที่ถูกสุขอนามัยจึงเป็นการป้องกันการติดเชื้อที่นำไปสู่ภาวะท้องเสียได้
โดยปฏิบัติตามคำแนะนำเบื้องต้นเหล่านี้
- ล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังรับประทานอาหารหรือสัมผัสกับอาหาร หลังการเข้าห้องน้ำ หรือจับสิ่งสกปรกอื่น ๆ เพื่อป้องกันแพร่กระจายของเชื้อโรค
- ในกรณีที่ไม่สามารถล้างมือได้ ควรใช้เจลล้างมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
เพื่อช่วยฆ่าเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เลือกรับประทานอาหารอย่างระมัดระวัง เช่น รับประทานของร้อน อาหารที่สะอาด สดใหม่ หลีกเลี่ยงผักผลไม้สดที่ล้างไม่สะอาด เนื้อสัตว์ดิบ และผลิตภัณฑ์ประเภทนม เป็นต้น
- ไม่ควรวางอาหารทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องนาน ๆ ควรเก็บเข้าตู้เย็น เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
- ควรทำความสะอาดบริเวณที่มีการเตรียมอาหารให้ถูกสุขลักษณะ รวมถึงการล้างมือให้สะอาด ขณะเตรียมอาหาร
- เลือกดื่มน้ำที่สะอาด ถูกสุขลักษณะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก pobpad.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น