การรักษาไมเกรน
League88Joz Migraine (ไมเกรน) ทางการแพทย์ได้จำแนกอาการปวดศีรษะออกเป็น 3 ประเภท (ICHD-II
2004) คือ
1. ปวดศีรษะปฐมภูมิ (Primary
headaches) ได้แก่ ปวดศีรษะจากความเครียด (Tension
headache) ไมเกรน (Migraine headache) และอื่นๆ
ซึ่งเป็นโรคปวดหัวเรื้อรังที่เป็นๆหายๆ
โดยที่ตรวจไม่พบความผิดปกติใดๆจากการตรวจร่างกาย หรือ การตรวจภาพวินิจฉัยสมอง
แต่สามารถวินิจฉัยได้จากประวัติอาการปวดของผู้ป่วยเป็นสำคัญ
2. ปวดศีรษะทุติยภูมิ (Secondary
headaches) อาการปวดศีรษะที่เกิดจากโรค หรือ สาเหตุต่างๆมากมาย
โรคที่พบบ่อย เช่น ภาวะไข้ปวดหัว เป็นหวัด ปวดฟัน ตาแดง หูอักเสบ โพรงจมูกอักเสบ
ตลอดจน โรคที่พบน้อยแต่มีอันตราย เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เนื้องอกในสมอง และ
เลือดออกในสมอง เป็นต้น
3. กลุ่มอาการปวดจากเส้นประสาทสมองและอาการปวดใบหน้า
(Cranial neuralgias.Central and Primary facial pain and other headaches)
เป็นโรคที่พบได้น้อยกว่า ลักษณะอาการปวด
จะปวดเฉพาะที่ตามตำแหน่งของเส้นประสาทนั้นๆ ซึ่งโรคกลุ่มนี้
ส่วนใหญ่ยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัด
ไมเกรน จึงเป็นโรคปวดศรีษะปฐมภูมิที่พบบ่อย มีลักษณะเฉพาะตัวที่สำคัญคือ
ผู้ป่วยมักจะปวดศีรษะข้างเดียว หรือ
เริ่มปวดข้างเดียวก่อนแล้วจึงกระจายทั้งสองข้าง
แต่บางครั้งอาจจะเริ่มปวดศีรษะทั้งสองข้างพร้อมๆกันก็ได้ แต่พบน้อยกว่า
และอาการปวดไมเกรนสามารถย้ายข้างไปมา หรือ ย้ายตำแหน่งได้
ลักษณะอาการปวดมักจะปวดตุ๊บๆ เป็นระยะ ส่วนมากจะปวดรุนแรงปานกลาง
ถึงรุนแรงมาก ปวดนานกว่า 4 - 72 ชั่วโมงติดต่อกัน
และมักจะมีอาการ คลื่นไส้ อาเจียน หรือ เวียนศีรษะร่วมด้วย
ผู้ป่วยมักมีอาการปวดมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหว หรือ สั่นสะเทือนของร่างกาย
ปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ ได้แก่ สถานที่ที่มีเสียงดัง อึกทึก แสงจ้า หรือแสงแดดจัด
ดังนั้น ผู้ป่วยไมเกรนมักต้องการพักผ่อนอยู่ในที่ที่เงียบสงบ ไม่มีแสงรบกวน
และมักจะนอนอยู่นิ่งๆ เพราะเมื่อขยับตัวจะทำให้ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ
คลื่นไส้อาเจียนมากขึ้น ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะจากความเครียดมักจะปวดตื้อๆตึงๆ
เหมือนมีอะไรมารัด มักปวดบริเวณขมับ ทั้งสองข้าง หรือ
รอบศีรษะ ความปวดมักไม่รุนแรงนัก แต่ถ้าปวดนานๆ และปวดบ่อยๆ
อาจทำให้ปวดรุนแรงมากได้
โดยเฉลี่ยความชุกอยู่ที่ 7 - 12 % ในประชากรทั่วไป แล้วแต่กลุ่มการศึกษา
พบได้บ่อยใน ช่วงอายุ 20 - 40 ปี
พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ทุกช่วงอายุ
2.สาเหตุของไมเกรน
ปัจจุบัน ยังไม่ทราบแน่ชัด
เชื่อกันว่าเป็นผลของการอักเสบที่เกิดขึ้นในระบบประสาท หรือเกิดจากความผิดปกติของระดับสารเคมี
หรือการนำกระแสไฟฟ้าในสมอง ส่งผลให้หลอดเลือดสมองทำงานผิดปกติไปชั่วขณะ
โดยเฉพาะหลอดเลือดขยายตัว จนทำให้เกิดอาการต่างๆของไมเกรนขึ้น โรคไมเกรนบางชนิดยังสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้
ผู้ป่วยอาจมีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคไมเกรนด้วยเหมือนกัน
3. การวินิจฉัยโรคไมเกรน
ไมเกรนเป็นโรคที่วินิจฉัยได้
โดยการซักประวัติและตรวจร่างกายโดยละเอียด และอาศัยเกณฑ์การวินิจฉัย
(ตามตารางที่แสดง) ดังนั้นการเจาะเลือด เอกซเรย์ หรือการตรวจวินิจฉัยสมอง
จึงไม่มีความจำเป็น แต่อาจตรวจเพื่่อช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคปวดศีรษะอื่นที่มีอาการคล้ายคลึ่งกับไมเกรน
4.อาการนำก่อนเป็ไมเกรน คืออะไร
อาการนำก่อนเป็นไมเกรนทางการแพทย์เรียกว่า
ออร่า (Aura) โดยทั่วไปสามารถพบได้ประมาณ 20 - 30 % ซึ่งมีลักษณะอาการแตกต่างกันไป ได้แก่ การมองเห็นภาพผิดปกติไป
เห็นภาพบิดเบี้ยว เห็นแสงระยิบระยับ ชาตามส่วนต่างๆของร่างกาย อาการเบลอๆ
เหมือนนึกคำพูดไม่ออก หรือ การพูดสื่่อสารผิดปกติไป ซึ่งมักเกิดอาการอยู่ชั่วคราว
ประมาณ 5 - 20 นาที ก่อนเริ่มมีอาการปวดศีรษะ
ไมเกรนเป็นโรคที่มีระดับความรุนแรงและเรื้อรังได้แตกต่างกัน
อาจปวดได้ 2 - 3 เดือนต่อครั้ง
จนกระทั่งปวดเกือบทุกวัน ผู้ป่วยไมเกรนจึงจำเป็นต้องสังเกตปัจจัยต่างๆ
ที่จะกระตุ้นให้เกิดอาการปวด เช่น ความเครียด ร่างกายอ่อนเพลีย อดนอน แสงจ้าๆ
กลิ่นฉุน ช่วงขณะมีระดู หรือ รับประทานยาคุมกำเนิด ช่วงที่อดอาหาร
หรือ ควบคุมอาหาร อาหารบางชนิด เช่น กล้วยหอม
เนยแข็ง ช๊อกโกแลต เครื่องเทศ และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
รวมทั้งการรับประทานยาแก้ปวดบ่อยๆ ก็จะทำให้โรคไมเกรนควบคุมยากขึ้น
ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ต้องปฏิบัติคือ พยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยที่จะกระตุ้นให้เกิดอาการปวด
6. การรักษาและการป้องกัน การรักษาประกอบด้วย 2 ส่วนคือ
6.1 การรักษาด้วยยา ซึ่งประกอบด้วย 2 กลุ่มหลัก คือ ยาระงับปวด
และยาเพื่อป้องกัน
โดยหลักการแล้วยาระงับปวดจะแนะนำให้รับประทานเป็นครั้งคราวเท่าที่จำเป็นเพื่อให้บรรเทาจากอาการปวด
พออาการดีขึ้นให้หยุดใช้ ส่วนยาเพื่อป้องกันให้รับประทานต่อเนื่องทุกวันตามที่แพทย์สั่ง
แพทย์จะแนะนำให้รับประทานยาเพื่อป้องกันก็ต่อเมื่อปวดศีรษะบ่อย เช่น สัปดาห์ละ 1
- 2 ครั้ง ขึ้นไป หรือแม้จะปวดไม่บ่อย
แต่รุนแรงมากหรือนานต่อเนื่องกันหลายวัน ยาป้องกันไมเกรนนั้นมีอยู่หลายชนิด
จะต้องเลือกชนิดและปรับขนาดยาให้เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
แนะนำให้รับประทานยาป้องกันต่อเนื่องจนอาการสงบลงนานอย่างน้อย 3 -6 เดือน จึงค่อยๆหยุดยาได้ เมื่อกำเริบขึ้นอีกจึงเริ่มรับประทานใหม่
6.2 การรักษาที่ไม่ใช้ยา ได้แก่ การประคบเย็น การนวด กดจุด การทำกายภาพบำบัดเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบศีรษะและคอ
การนอนพัก การนั่งสมาธิ หรือ การคลายเครียดด้วยวิธีต่างๆ
อาจพอช่วยให้บรรเทาอาการปวดได้บ้าง สิ่งที่สำคัญ คือ
หลีกเลี่ยงปัจจัยที่จะกระตุ้นให้เกิดอาการปวดต่างๆ
เสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางธรรมชาติจากการออกกำลังกายสม่ำเสมอ การดูแลสุขภาพจิตใจ
การรักษาระดับอารมณ์ให้คงที่แจ่มใส
และรู้จักการผ่อนคลายความตึ่งเครียดก็เป็นการรักษาที่สำคัญ
7.ปัจจัยที่ทำให้ไม่หายจากโรคไมเกรนและทำให้เรื้อรังมากขึ้น
7.1 อาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นบ่อยๆ
โดยเฉพาะมากกว่า 3 4 ครั้งต่อเดือน
7.2 ภาวะอ้วน (ดัชนีมวลกาย มากกว่า
25) จึงต้องแนะนำให้ผู้ป่วยลดน้ำหนัก
เพื่อให้สามารถควบคุมอาการปวดศีรษะได้ดีขึ้่น
7.3 ผู้ป่วยที่ใช้ยาแก้ปวดบ่อยๆ
โดยเฉพาะมากกว่า 10 - 15 ครั้ง/ เดือน
แพทย์จะเรียกภาวะดังกล่าวว่า Medication overuse headache ซึ่งเป็นอาการปวดหัวเรื้อรังที่เกิดจากการรับประทานยาแก้ปวดนั่นเอง
7.4 วิถีชีวิตที่เคร่งเครียด
การใช้สมองและสายตามากเกินไป
7.5 ดื่มกาแฟมากเกินไป ไม่ควรเกิน 2
แก้วต่อวัน
7.6 การนอนกรนเป็นประจำ
โดยเฉพาะภาวะหยุดหายใจจากทางเดินปายใจอุดกลั้นขณะนอนหลับ
7.7 มีโรคร่วมอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มอาการปวดเรื้อรัง
และโรคทางจิตเวช
จากข้อมูลดังกล่าวจึ่งเป็นแนวทางในการดูแลและแนะนำผู้ป่วยไมเกรนให้หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงข้างต้น
ปรึกษาแพทย์เมื่อปวดศีรษะบ่อยขึ้น ลดน้ำหนัก
หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดโดยไม่จำเป็น ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เหมาะสม
ไม่เพิ่มปริมาณกาแฟ พักผ่อนให้เพียงพอ
ก็จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการไมเกรนได้ดียิ่งขึ้นต่อไป
อาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นซ้ำๆ
และติดต่อกันนานกว่า 4 - 72 ชั่วโมง
โดยมีลักษณะดังต่อไปนี้
1.มีลักษณะอาการปวดอย่างน้อย 2
ใน 4 ข้อ
* ปวดข้างเดียว
* ปวดแบบตุ๊บๆ
* ปวดมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวหรือสั่นสะเทือน
* ปวดรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก
2.ร่วมกับอาการต่อไปนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง
* คลื่นไส้
อาเจียน
* อาการมากขึ้นเมื่ออยู่ในที่ที่มีเสียงดังอึกทึก
หรือ แสงจ้า
ขอขอบคุณข้อมูลจาก thonburihospital.com








ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น